“มลพิษทางอากาศ” หลายคนคงคิดถึง
ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ฝุ่นละอองในอากาศ หรือควันจากบุหรี่
แต่มลพิษทางอากาศที่ผู้เขียนอยากจะสื่อนั้น รวมถึงกลิ่นของสารเคมีเช่น
ไอระเหยน้ำมัน ไอระเหยของน้ำยาทาเล็บ ตัวทำละลายต่างๆ
หรือแม้กระทั่งกลิ่นหรือไอระเหยของสีทาบ้าน กาว เรียกได้ว่าทุกๆ
อย่างที่อยู่ในอากาศ เมื่อเข้าสู่ร่างแล้วเป็นอันตรายต่อชีวิต
ต่อระบบภายในของร่างกายนั่นคือ “มลพิษทางอากาศ”
ตัวอย่างของงานวิจัยที่เพิ่งค้นพบถึงอันตรายของมลพิษเหล่านี้
ได้แก่ มลพิษทางอากาศที่มีขนาดเล็กในระดับนาโนเมตร เมื่อเราหายใจเข้าไป
เจ้ามลพิษนี้จะเข้าไปถึงปอดและสามารถบล็อคการเคลื่อนที่ของออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด
ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ หรือพากินสันได้ นอกจากนี้เจ้ามลพิษที่มีขนาดเล็กมากๆ
นี้ยังสามารถซึมไปตามเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ทำลาย DNA โปรตีน
หรือโครงสร้างของเซลล์ ทำให้ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ
ตามมามลพิษทางอากาศเหล่านี้นอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพแล้ว งานวิจัยล่าสุดได้พบว่า
มลพิษทางอากาศยังส่งผลต่อบุคลิกภาพด้วย ซึ่งงานวิจัยได้ศึกษากับหนูทดลองพบว่า
เมื่อให้หนูดมสารเคมีที่ชื่อว่า บีสพีนอล (Bisphenol S) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ผลิตกระดาษและพลาสติกใส
ผลการศึกษาพบว่า หนูที่ได้รับสารเคมีส่งผลต่อฮอร์โมนของหนูทำให้มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปคือ
มีก้าวร้าวมากขึ้น จากตัวอย่างงานวิจัยจะเห็นได้ว่า
มลพิษทางอากาศนั้นส่งผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อทั้งมนุษย์และสัตว์
หลายๆ คนคงคิดว่า
มลพิษทางอากาศสามารถเข้าสู่ร่างกายเราโดยการหายใจเท่านั้น
นั่นคุณอาจคิดผิดมาโดยตลอด เพราะงานวิจัยใหม่ๆ ได้ค้นพบว่า
มีสารเคมีบางตัวที่สามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์โดยการซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนัง!
น่ากลัวใช่หรือไม่? เพราะเพียงแค่ปิดจมูก หรือใส่หน้ากากที่มีตัวกรองสารเคมี
กลับไม่สามารถป้องกันมลพิษเหล่านี้ไม่ให้เข้าสู่ร่างกายได้
การหายใจสามารถนำมลพิษเข้าสู่ปอด และเข้าสู่กระแสเลือดเป็นลำดับต่อไป
แต่อวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกายกลับเป็นผิวหนัง
ซึ่งนักวิศวะสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยวอชิงตันพบว่า ผิวหนังคนทำหน้าที่คล้ายกับฟองน้ำเพื่อดูดซับสารเคมี
โดยสารเคมีที่เริ่มศึกษาคือ พทาเลท (Phthalates) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้เป็นตัวทำละลายและผลิตพลาสติก
ซึ่งในปัจจุบันพบว่า
เนื่องจากการใช้สารเคมีประเภทนี้อย่างแพร่หลายทำให้พบได้มากในอากาศ
และในร่างกายมนุษย์เอง!
ผลการศึกษาในคน โดยให้คนเหล่านี้ได้รับสารตระกูลพทาเลท 2
ตัวคือ diethyl (Di-ETH-ul) phthalate หรือ DEP ซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญในเครื่องสำอาง
น้ำหอม และผลิตภัณฑ์พวกแชมพู พบว่าสารตัวนี้มีผลต่ออวัยวะสืบพันธ์
สารเคมีตัวที่สอง คือ di-n-butyl (BEU-tul) phthalate หรือ
DnBP ซึ่งพบมากในเครื่องสำอาง
และใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับเป็นส่วนผสมของกาว พลาสติกและสารหล่อลื่น
ซึ่งอันตรายของมันนั้นส่งให้เด็กแรกเกิดมีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน
การทดลองทำโดย ให้ผู้ทดสอบสวมฮูด (Hood)
ครอบศีรษะเพื่อที่จะหายใจในอากาศที่สะอาดเท่านั้น
โดยให้แต่ละคนจะสวมเสื้อผ้าที่ไม่หนาและสั้นๆ
เพื่อที่จะให้ผิวหนังได้สัมผัสกับสารที่อยู่ในอากาศ ผลการศึกษาพบว่า สาร DEP
สามารถเข้าสู่ผิวหนังและการหายใจในปริมาณที่เท่าๆ กัน ส่วน DnBP
ผิวหนังสามารถดูดซับสารนี้เข้าไปได้มากกว่าการหายใจถึง 80%
โดยประเด็นที่น่าตกใจคือ ในการทดสอบครั้งนี้ใช้เวลาเพียงแค่ 6 ชั่วโมง
ซึ่งเป็นเวลาที่น้อยเกินไปที่จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนถึงปริมาณการดูดซึมสารเคมี
นักวิจัยกล่าวว่า หากเพิ่มเวลานานขึ้นถึง 30-40 ชั่วโมง
ผิวหนังเราน่าจะสามารถดูดซึมสารเคมีเข้าสู่ร่างกายได้มากกว่าการหายใจถึง 5-6 เท่า
ดังนั้นในการค้นพบครั้งนี้จึงสามารถอธิบายว่า
สารเคมีชนิดพทาเลทที่พบในของใช้เด็กทารก เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กคลอดก่อนกำหนด
นอกจากนี้ไม่เพียงแค่สารเคมีชนิดพทาเลทเท่านั้น นักวิจัยยังค้นพบว่า
สารเคมีที่มีขนาดอนุภาคไม่ใหญ่มากสามารถระเหย ซึม เข้าสู่ผิวหนังได้เช่นเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น สารเคมีในน้ำยาทาเล็บ พาราเบนในครีมกันแดด และนิโคติน
ซึ่งจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราได้รับสารเหล่านี้ในทุกๆ วัน ทุกๆ ชั่วโมง
ลองนึกภาพคนทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารเหล่านี้ เช่น พนักงานในร้านทาเล็บ
หรือพนักงานในโรงงานผลิตพลาสติก
ซึ่งมีโอกาสได้รับสารเคมีเหล่านี้ซึมเข้าสู่ผิวหนังมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่านัก
ทุกวันนี้คนเราอยู่กับสารเคมีเหล่านี้จนชิน
จึงไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายจากสารเคมีเหล่านี้
แน่นอนว่าอาการของโรคไม่ได้แสดงทันทีที่ได้รับสารพิษ แต่มันใช้ระยะเวลาสะสม
จากวันละเล็กละน้อยที่ร่างกายได้รับ อาจจะ 10 ปีหรือ 20 ปี
จึงค่อยแสดงอาการออกมาให้เราได้พึงระวังและป้องกันตัวหรือไม่มันก็อาจจะสายเกินไป
ที่มา
-https://student.societyforscience.org/article/nano-air-pollutants-strike-blow-brain
-https://student.societyforscience.org/article/some-pollutants-made-mice-less-friendly
-https://student.societyforscience.org/article/some-air-pollutants-seep-through-skin
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น