ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
ความหมายของศัพท์เทคนิคที่เกี่ยวข้อง
ความหมายของ
รีเลชั่น (Relation) มีคำเรียกทั่ว ๆ
ไปว่า ตาราง ( Table ) เป็นคำนามที่แทนข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ความหมายของ ทูเพิล
( Tuple ) คือค่าของข้อมูลในแต่ละแถว (Row) หรือ
เรคคอร์ด (Record)
ความหมายของ
คาร์ดินาลลิตี้ (Cardinality) คือ
จำนวนแถวแต่ละข้อมูลในแต่ละรีเลชั่น
ความหมายของ
แอทริบิวต์ (Attribute) คือรายละเอียดของข้อมูลในแต่ละคอลัมน์
ซึ่งแสดงให้รู้ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง หรือรู้จักในรูปของคอลัมน์ (Column)
หรือ ฟิลด์ (File)
ความหมายของ คีย์หลัก (Primary
key) คือแอทริบิวต์ที่มีค่าของข้อมูลเป็นเอกลักษณ์หรือเฉพาะเจาะจงและจะเป็นค่าที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละทูเพิล
ความหมายของ
โดเมน (Domain) คือขอบเขตของค่าของข้อมูลที่ควรจะเป็นในแต่ละแอทริบิวต์
ความหมายของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
ความหมายของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์เป็นฐานข้อมูลในระดับภายนอก
และระดับแนวคิดแก่ผู้ใช้ข้อมูลได้เป็นอย่างดี รีเลชั่ต่าง ๆ
ในฐานข้อมูลจะประกอบด้วย แอทริบิวต์ต่าง ๆ
ที่ถูกออกแบบมาเพื่อลดความซ้ำซ้อนของการเก็บข้อมูล และสามารถเรียกใช้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดีของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
1. ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์เป็นกลุ่มข้อมูลของรีเลชั่นหรือตารางที่ข้อมูลถูกจัดเก็บเป็นแถวหรือคอลัมน์
ซึ่ง
ทำให้ผู้ใช้เห็นภาพของข้อมูลได้ง่าย
ทำให้ผู้ใช้เห็นภาพของข้อมูลได้ง่าย
2. ผู้ใช้ไม่ต้องรู้ว่าข้อมูลถูกจัดเก็บอย่างไร
รวมถึงวิธีการเรียกใช้ข้อมูล
3. ภาษาที่ใช้เป็นการเรียกใช้ข้อมูล
เป็นลักษณะคล้ายภาษาอังกฤษ และไม่จำเป็นต้องเขียนเป็นลำดับขั้น
4. การเรียกใช้หรือเชื่อมโยงข้อมูลทำได้ง่าย
โดยใช้โอเปอร์เรเตอร์ทางคณิตศาสตร์
คุณลักษณะในการจัดเก็บข้อมูล
ภาษาที่ใช้ในการควบคุมข้อมูล
ประกอบด้วยคำสั่งที่ใช้ในการควบคุมความถูกต้องของข้อมูล
หรือป้องกันการเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ใช้หลายคนเรียกใช้ข้อมูลพร้อมกัน
ในขณะที่ข้อมูลนั้นๆกำลังปรับปรุงแก้ไขอยู่ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับผู้ใช้อีกคนหนึ่งก็เรียกใช้ข้อมูลนี้
และได้ค่าที่ไม่ถูกต้อง เพราะผู้ใช้คนแรกยังปรับปรุงแก้ไขไม่เสร็จ
คีย์แบ่งออกเป็น
2 ประเภท คือ
1.
คีย์หลัก (Primary Key)
เป็นรีเลชั่นที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อเก็บข้อมูลเพื่อนำข้อมูลไปใช้
เมื่อมีการสร้างรีเลชั่นในภาษาสำหรับนิยามข้อมูล ( DDL ) เช่น SQL คำสั่ง CREATE
TABLE เป็นการสร้างรีเลชั่นหลัก
หลังจากนั้นก็จะทำการเก็บข้อมูลเพื่อการเรียกใช้ข้อมูลในภายหลัง
รีเลชั่นหลักจะเป็นตารางที่มีการเก็บข้อมูลจริงไว้
2.
คีย์นอก (Foreign Key)
เป็นรีเลชั่นที่ถูกสร้างขึ้นตามความต้องการใช้ข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน
เพราะผู้ใช้แต่ละคนในฐานข้อมูลอาจต้องการใช้ข้อมูลในลักษณะที่แตกต่างกัน
จึงทำการกำหนดวิวของตนเองขึ้นจากรีเลชั่นหลักขึ้นมาต่างหาก
เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้ข้อมูล
และช่วยในการรักษาความปลอดภัยของฐานข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น
ประเภทของรีเลชั่น
อาจจำแนกออกเป็นหลายประเภท
แต่ประเภทที่มีในการจัดการฐานข้อมูลทั่ว ๆ ไป ดังนี้ คือ
1. รีเลชั่นหลัก
(Base Relation)
เป็นรีเลชั่นที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อเก็บข้อมูลเพื่อนำข้อมูลไปใช้
เมื่อมีการสร้างรีเลชั่นในภาษาสำหรับนิยามข้อมูล ( DDL ) เช่น SQL คำสั่ง CREATE
TABLE เป็นการสร้างรีเลชั่นหลัก
หลังจากนั้นก็จะทำการเก็บข้อมูลเพื่อการเรียกใช้ข้อมูลในภายหลัง
รีเลชั่นหลักจะเป็นตารางที่มีการเก็บข้อมูลจริงไว้
2. วิว
(View)
เป็นรีเลชั่นที่ถูกสร้างขึ้นตามความต้องการใช้ข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน
เพราะผู้ใช้แต่ละคนในฐานข้อมูลอาจต้องการใช้ข้อมูลในลักษณะที่แตกต่างกัน
จึงทำการกำหนดวิวของตนเองขึ้นจากรีเลชั่นหลักขึ้นมาต่างหาก
เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้ข้อมูล
และช่วยในการรักษาความปลอดภัยของฐานข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น
กฎที่เกี่ยวข้องในฐานข้อมูล
กฎความบูรณภาพของเอนทิตี้
กฎนี้ระบุว่า
แอทริบิวต์ใดที่จะเป็นคีย์หลักในแอทริบิวต์นั้นจะเป็นค่าเอกลักษณ์ ( Unique ) และเป็นค่าว่าง (Null) ความหมายของการเป็นค่าว่างไม่ได้
(Not full) ในที่นี้จะหมายรวมถึงข้อมูลของแต่ละ
แอทริบิวต์ที่เป็นค่าหลักจะเป็นค่าว่างไม่ได้ และเป็นค่าเอกลักษณ์ในการที่จะระบุค่าของแอทริบิวต์อื่น ๆ ใน
ทูเพิลอื่นๆได้
แอทริบิวต์ที่เป็นค่าหลักจะเป็นค่าว่างไม่ได้ และเป็นค่าเอกลักษณ์ในการที่จะระบุค่าของแอทริบิวต์อื่น ๆ ใน
ทูเพิลอื่นๆได้
กฎความบูรณภาพของการอ้างอิง
การอ้างอิงข้อมูลระหว่างรีเลชั่นในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์จะใช้คีย์นอกของรีเลชั่นหนึ่งไปตรวจสอบกับค่าของแอทริบิวต์ที่เป็นคีย์หลักของรีเลชั่นหนึ่งเพื่อเรียกดูข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
คือ ค่าของคีย์นอกจะต้องสามารถอ้างอิงให้ตรงกันกับค่าขอแงคีย์หลักได้
จึงจะเชื่อมโยงหรืออ้างอิงข้อมูลข้อมูลระหว่างรีเลชั่นได้
ในกรณีที่มีการแก้ไขหรือลบข้อมูลจะทำได้หรือไม่ขึ้นกับการออกแบบฐานข้อมูลมี
4 ทางเลือก คือ
1. การลบหรือแก้ไขข้อมูลแบบมีข้อจำกัด
(Restrict)
การลบหรือการแก้ไขข้อมูลจะกระทำได้เมื่อข้อมูลของคีย์หลักในรีเลชั่นหนึ่งไม่มีข้อมูลที่จะอ้างอิงโดยคีย์นอกำจากรีเลชั่นหนึ่ง
เช่น รหัสแผนก DEPNO ในรีเลชั่น DEP
จะถูกแก้ไขหรือลบทิ้งก็ต่อเมื่อไม่มี
พนักงานคนใดสังกัดอยู่
พนักงานคนใดสังกัดอยู่
2. การลบหรือแก้ไขข้อมูลแบบต่อเรียง
(Cascade)
การลบหรือการแก้ไขข้อมูลจะทำแบบลูกโซ่
คือ หากมีการแก้ไขหรือลบข้อมูลของคีย์หลักในรีเลชั่น หนึ่ง
ระบบจะทำการลบหรือการแก้ไขข้อมูลของคีย์นอกในรีเลชั่นหนึ่ง
ที่อ้างอิงถึงข้อมูลของคีย์หลักที่ถูกลบให้ได้
3. การลบหรือแก้ไขข้อมูลโดยเปลี่ยนเป็นค่าว่าง
(Nullify)
การลบหรือการแก้ไขข้อมูลจะทำได้เมื่อมีการเปลี่ยนค่าของคีย์นอกที่ถูกอ้างอิงให้เป็นค่าว่างเสียก่อน
4. แก้ไขข้อมูล
โดยกำหนดค่าปริยาย (Default)
การแก้ไขข้อมูลของคีย์หลักสามารถทำได้
โดยถ้าหากมีคีย์นอกที่อ้างอิงถึงคีย์หลักที่ถูกแก้ไข
จะทำการปรับค่าของคีย์นอกนั้นเป็นค่าโดยนอกนั้นเป็นค่าโดยปริยาย
ที่ถูกกำหนดขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น