หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

รถที่แพงที่สุดในโลก

ในงานเจนีวามอเตอร์โชว์ ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา แอสตัน มาร์ติน ลากอนดา ลิมิเต็ด แห่งประเทศอังกฤษ ค่ายรถหรูคู่บุญพระเอกสายลับตัวกลั่นขวัญใจคนทั้งโลกอย่าง "เจมส์บอนด์" เจ้าของรหัสลับ 007 ได้สร้างความฮือฮาสนั่นโลก ด้วยการเปิดตัว "แอสตัน มาร์ติน วัน-77" (Aston Martin One-77) รถสปอร์ต ที่แพงสุดในโลก เพราะสนนราคาที่ยุโรป ตกประมาณ 60-70 ล้านบาท แต่ถ้ามาขายที่บ้านเรา ราคาต้องไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท  พร้อมส่งมอบคันแรกในโลกตั้งแต่ ต.ค.นี้ สาเหตุที่ราคาแพงจับใจ ทางแอสตัน มาร์ติน ลากอนดา ลิมิเต็ด ได้ออกตัวว่าเป็นเพราะรถคันนี้ ถือเป็นรถสปอร์ตซุปเปอร์ ซุปเปอร์ และซุปเปอร์คาร์
       ประจงรังสรรค์ด้วยทีมช่างระดับเทพ รถทั้งคันล้วนแต่เป็นงานแฮนด์เมด ตัวถังทำด้วยอะลูมิเนียม ส่วนโครงสร้างเป็นคาร์บอนไฟเบอร์เฉกเช่นรถแข่งระดับพระกาฬ
     ดีไซน์เฉียบขาดทั้งรูปลักษณ์ ภายนอกและห้องโดยสารภายใน โดยก่อนหน้านี้ได้เคยอวดโฉมรถต้นแบบมาแล้วหนหนึ่ง ก็ยังกวาดรางวัลมานับไม่ถ้วนในด้านสุดยอดดีไซน์
      สำหรับชื่อรุ่นอย่าง One-77 ก็ตั้งใจให้ผูกพันกับเลข 7 นั่นคือ รถรุ่นนี้ได้ผลิตออกมาในจำนวนจำกัดแค่ 77 คัน
ขนาดเครื่องยนต์ 7.3 ลิตร วี 12 รีดขุมพลังกระหึ่มถึง 700 แรงม้า ให้ความเร็วสูงสุดมากกว่า 320 กม./ชม. อัตราเร่งสูงสุด 0-100 กม./ชม. แค่ 3.5 วินาที

พื่อให้สมเป็นสปอร์ตซุปเปอร์คาร์ พันธุ์แท้และให้อารมณ์ประหนึ่งรถแข่งชั้นเลิศ จึงเลือกระบบขับเคลื่อนล้อหลัง และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ซึ่งยังสามารถคอนโทรลได้ที่พวงมาลัย ส่วนห้องโดยสารภายในใครเห็นก็ต้องตะลึง ตึง ตึง เพราะออกแบบได้หรูเพริศให้กลิ่นอายความเป็นรถสปอร์ตซุปเปอร์คาร์สุดอลังการ

ที่มา เกสตาโป

ไข่ปลาคาเวียร์ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร



          คาเวียร์ หรือบางทีจะเรียก ไข่ปลาคาเวียร์ (caviar) เป็นไข่ปลาที่ผ่านการปรุงรสโดยไข่มาจากปลาหลากหลายประเภท โดยส่วนมากนิยมนำมาจากไข่ปลาสเตอร์เจียน คาเวียร์ได้มีการโฆษณาและได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก
คำว่า คาเวียร์มาจากภาษาเปอร์เซีย ว่า  (Khag-avar) ซึ่งมีความหมายว่า "ไข่ปลาที่ปรุงรส" โดยในแถบเปอร์เซียจะใช้หมายถึงปลาสเตอร์เจียน
             ในปัจจุบัน คาเวียร์ที่มีชื่อเสียง จะมาจากฝั่งทะเลแคสเปียน ในแถบอาเซอร์ไบจัน อิหร่าน และ รัสเซีย
คาเวียร์มีหลายประเภทและหลายสี โดยคาเวียร์สีทอง ที่มาจากปลาสเตอร์เลต (sterlet, ชื่อวิทยาศาสตร์: Acipenser ruthenus) เป็นคาเวียร์ที่หายาก นิยมรับประทานกันในหมู่กษัตริย์ โดยในปัจจุบันคาเวียร์ชนิดนี้แทบจะหาไม่ได้เนื่องจากมีการล่ามากจนเกินไป และทำให้เกิดการสูญพันธุ์

        ปลาสเตอร์เจียน (อังกฤษ: Sturgeon) ปลากระดูกแข็งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในอันดับปลาฉลามปากเป็ดหรืออันดับปลาสเตอร์เจียน (Acipenseriformes) อาศัยได้อยู่ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และทะเล เมื่อยังเล็กจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืด ทะเลสาบหรือตามปากแม่น้ำ แต่เมื่อโตขึ้นจะว่ายอพยพสลงสู่ทะเลใหญ่ และเมื่อถึงฤดูวางไข่ก็จะว่ายกลับมาวางไข่ในแหล่งน้ำจืด
สเตอร์เจียน เป็นปลาที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่ปลา ที่เรียกว่า ไข่ปลาคาเวียร์ (Caviar) ซึ่งนับเป็นอาหารราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก
       ปลาสเตอร์เจียน มีรูปร่างคล้ายปลาฉลาม มีหนามแหลมสั้น ๆ บริเวณหลังและเส้นข้างลำตัว (Llateral line) มีหนวดทั้งหมด 2 คู่อยู่บริเวณปลายจมูก ปลายหัวแหลม ปากอยู่ใต้ลำตัว หากินตามพื้นน้ำโดยอาหารได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ สเตอร์เจียนจะพบแต่เฉพาะซีกโลกทางเหนือซึ่งเป็นเขตหนาวเท่านั้น ได้แก่ ทวีปเอเชียตอนเหนือ ทวีปยุโรปตอนเหนือ ทวีปอเมริกาเหนือตอนเหนือ สถานะปัจจุบันของปลาชนิดนี้ในธรรมชาติใกล้สูญพันธุ์เต็มที แต่ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในบางชนิด
สเตอร์เจียน มีทั้งหมด 27 ชนิด ใน 3 สกุล โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุดคือ สเตอร์เจียนขาว (Huso huso) พบในรัสเซีย สามารถโตเต็มที่ได้ถึง 5 เมตร หนักกว่า 900 กิโลกรัม และมีอายุยืนยาวถึง 210 ปี นับเป็นปลาที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก เท่าที่มีการบันทึกมา และเป็นชนิดที่ให้ไข่รสชาติดีที่สุดและแพงที่สุดด้วย ส่วนชนิดที่เล็กที่สุดคือ สเตอร์เจียนแคระ (Pseudoscaphirhynchus hermanni) ที่โตเต็มที่มีขนาดไม่ถึง 1 ฟุตเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้แล้ว สเตอร์เจียนยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย

ที่มา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ล้าง องุ่น อย่างไร ให้ฝ้าขาวๆ หายไป

ช่วงนี้ได้ทานองุ่นบ่อย ค่อนข้างไม่สบายใจกลับสีขาวๆ ที่จับอยู่ที่ผลองุ่นนัก มีคนเค้าบอกว่ามันคือยาฆ่าเชื้อราที่ใช้พ่นตอนองุ่นยังดิบอยู่(ไม่ยืนยันนะครับ)?แต่เพื่อความปลอดภัยถ้าไม่มีฝ้าขาวๆนี่น่าจะดีกว่า ก็เลยลองไปค้นๆ มาว่าจะล้างมันออกอย่างไรดี ลองเอาไปทำดูนะครับ

1. เด็ดผลองุ่นออกจากพวง เพื่อจะได้ง่ายในการล้าง








2. ใส่ภาชนะ








3. บีบยาสีฟัน (อะไรก็ได้) พอสมควร แล้วขยี้ให้ทั่วมือ








4. ใส่น้ำพอสมควร แล้วลงมือล้าง








5. ล้างด้วยน้ำเปล่าแล้ว สะเด็ดน้ำ








6. นำองุ่นใส่ภาชนะให้สวยงาม








ที่มา http://www.ladysquare.com

วิธีกำจัดความเหงา

1.ทำสิ่งที่บันเทิงใจwill-love5
เรามักจะมีงานอดิเรกไม่เหมือนกันโดยเฉพาะตัวผม ?ทุกเช้าประมาณ 7 โมงเช้าผมจะตื่นขึ่นมาพร้อมกับชงกาแฟร้อนๆแก้วนึง แล้ว จะนั่งจิบไปดูปลาหางนกยูงหลากสีที่เลี้ยงอยู่ในอ่างกระเบื้อง ผมซื้อมา 3-4 คู่ ?ปัจจุบันมันออกลูกหลานประมาณ 50 ตัว ?จากนั้นกาแฟเริ่มหมดแก้วผมก็เริ่มเอาสายยางฉีดน้ำต้นไม้ ?ผมเห็นความเจริญเติบโตของมันจากเมื่อก่อนต้นเล็กๆวันนี้มันโตขึ้นและผมก็ให้อาหารปลา เสร็จสรรพเรียบร้อย ?ผมก็อาบน้ำและไปส่งภรรยาต่อรถไฟฟ้าไปทำงานแล้วกลับมาอ่านหนังสือและเฝ้าเดี่ยว
2. สร้างความตื่นเต้นดีใจแก่ตนเอง
ผมจะตื่นเต้นดีใจเมื่อใกล้ค่ำเพราะรู้ว่าเวลาพักผ่อนและเวลานอนมาถึงแล้วเพราะการนอนพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้และคาดหวังว่าพระองค์จะตรัสกับผมทางความฝัน ผมชอบเขียนบทความที่เป็นการกลั่นกรองประสบการณ์การรับใช้ที่ยาวนาน อยากจะเขียนแบ่งปันให้รุ่นน้องๆได้อ่าน ?ผมจึงจะตื่นเต้นเมื่อลืมตาขึ้นมายามเช้าเพราะผมจะได้สร้างสรรค์กับงานใหม่ๆ ผมชอบที่จะรับใช้เพราะมันเป็นความอัศจรรย์ที่เกินความคาดคิดที่พระองค์ทรงทำ ผมมักชอบทำสิ่งใหม่ๆเพราะมันลับสมองและท้าทายความเพียรพยายามและเห็นจนกว่าความสำเร็จมาถึง ?ผมชอบอะไรที่เป็นสิ่งไหม่ๆที่ท้าทายที่จะทำและสนุกกับมันเพราะมันทำให้ผมกระตือรือล้นเพราะมีอะไรใหม่ๆให้ท้าทายได้ตลอดและกำจัดความเหงาไปได้ดี
3. ทำอย่างเต็มที่
ทำไมเราจึงเหงา ก็เพราะเราไม่ทำงานของเราเต็มที่ เราไม่เห็นถึงความสำเร็จ เราไม่เชื่อว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นมีค่าแต่อย่าลืมว่า ทุกอย่างในชีวิตมันมีผลต่ออนาคตหมดเลยครับ เหมือนคนก่อปราสาทราชวังมันต้องเริ่มจากอิฐก้อนที่หนึ่งก้อนเดียวเพราะหากคนสร้างปราสาทเขาไม่ท้อตั้งแต่การก่ออิฐก้อนแรกเพราะเขารู้ว่าเขากำลังจะสร้างปราสาทราชวังแต่หากเขาไม่รู้ก่อทำไมแค่กำแพงก็ไม่สำเร็จครับ
4. ดูแลและรักตัวเอง
หากท่านไม่อยากเหงา จงหางานอดิเรกที่ตัวเองชอบหรืออาจสะสมบางสิ่งเช่น ปลาหรือต้นไม้ราคาถูก ผมชอบสะสมหูฟังครับ มีมากมาย ค่อยๆเก็บเงินซื้อ ก็ใจรักแต่ก็ซื้อในราคาที่ตัวเองสู้ไหว
5.ทักทายเพื่อนๆน้องๆรอบข้างที่ดีกับเรา
คิดถึงเขาก่อนแล้วพวกเขาจะคิดถึงท่าน อย่าเป็นคนที่รอให้คนอื่นต้องทักต้องโทรเข้าหาท่านก่อนแบบนี้แหละ ท่านก็จะพบความเหงาได้ง่ายเพราะท่านจะได้รับอย่างที่ท่านได้หว่านออกไปครับ


 ที่มา บทความดีๆ ของ อาจารย์เจริญ ยธิกุล จาก www.james7.info

เว็บไซต์ไทยวิกฤต จะอยู่รอดเพียงเว็บใหญ่

ทรูฮิตส์ เผย ประชากรอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมีจำนวนมากกว่า 25,090,390 คน เฉลี่ยแล้วคิดเป็น 6.15 ล้านคนต่อวัน เพิ่มขึ้น 26.77% จากปี 2553 ซึ่งคนไทยออนไลน์เฉลี่ย 5.05 ล้านคนต่อวัน แต่ปรากฏว่าคนไทยนิยมใช้งานเว็บไซต์ต่างประเทศมาก ทำให้ ?เพจวิว? เว็บไทยเติบโตไม่ถึง 1% ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่อาจแปลว่าเงินโฆษณาไทยจะไหลออกนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง และเว็บไซต์ไทยจะอยู่รอดเพียงเว็บใหญ่เท่านั้น
นายปิยะ ตัณฑวิเชียร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค บริษัท ศูนย์วิจัยนวัตกรรมอินเทอร์เน็ตไทย จำกัด หรือทรูฮิตส์ (Truehits.net) กล่าวใน ?งานประกาศผลรางวัลเว็บไซต์ยอดนิยม Truehits.net Web Award 2011? วันที่ 14 พฤษภาคม 2555 ว่า ในกลุ่มคนไทยที่ออนไลน์เฉลี่ยวันละประมาณ 6 ล้านคนนั้นเป็นผู้ที่อยู่ในต่างประเทศ 4 แสน 4 หมื่นคน โดยเดือนสิงหาคม 2554 คือเดือนที่สถิติประชากรอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมีจำนวนสูงที่สุด คือ 25,090,390 คน
แม้จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไทยจะเพิ่มขึ้น แต่จำนวนครั้งของการเยี่ยมชมเว็บไซต์ในประเทศไทยเฉลี่ยต่อวัน (เพจวิว) กลับใกล้เคียงสถิติปี 2553 โดยจากสถิติที่รวบรวมจากเว็บไซต์ 11,000 เว็บที่เป็นสมาชิกกับทรูฮิตส์ พบว่าประเทศไทยมีเพจวิวเฉลี่ย 127 ล้านครั้ง เติบโตไม่ถึง 1% เมื่อเทียบกับเพจวิวปี 2553 ซึ่งมีจำนวน 125 ล้านครั้ง
เหตุผลสำคัญของสิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนไทยนิยมใช้งานเว็บไซต์ต่างประเทศมากกว่าเว็บไทย โดยเฉพาะเว็บไซต์เครือข่ายสังคมยอดนิยมอย่างเฟซบุ๊ก ทำให้โอกาสที่เงินโฆษณาออนไลน์ในประเทศไทยจะไปกองอยู่ที่ ?เว็บนอก? อย่างเฟซบุ๊กและกูเกิล ซึ่งรายหลังเป็นเว็บไซต์ที่ชาวออนไลน์ของไทย 99% ใช้ค้นหาข้อมูล
สิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้คือเว็บไซต์ไทยรายเล็กต้องปรับตัว ไม่เช่นนั้นโอกาสอยู่รอดก็จะมีเพียงเว็บไซต์รายใหญ่มาก อย่างสนุก กระปุก และเอ็มไทย
การสำรวจของทรูฮิตส์พบว่า ปี 2554 คนไทยนิยมชมเว็บไซต์หมวดบันเทิงมากที่สุด (37%) รองลงมาเป็นเกมออนไลน์ (13%) อันดับ 3 คือเว็บล็อกและไดอารีออนไลน์ (10.4%) ตามมาด้วยเว็บข่าว (7%) และเว็บไซต์ชอปปิ้ง (5%)
ระบบปฏิบัติการ Windows7 และเบราเซอร์ Chrome คือระบบปฏิบัติการและโปรแกรมเปิดเว็บไซต์ที่คนไทยใช้งานมากที่สุด โดยในบรรดาอุปกรณ์พกพา คนไทยใช้ไอโฟน (iPhone) และไอแพด (iPad) เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตถึง 46.53% และ 31.19% คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 113.47% และ 529.81% ตามลำดับ
ชายไทยนั้นออนไลน์มากกว่าหญิง สัดส่วนขณะนี้คือ 55% และ 45% ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน นักศึกษา โดยชาวออนไลน์ไทยส่วนใหญ่กระจุกตัวในกรุงเทพฯ และปริมณฑล (31%) รองลงมาคือภาคกลาง (20%) อีสาน (18%) ใต้ (12%) เหนือ (10%) และตะวันออก (9%)

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์


ภัยเงียบ ที่เกิดจากการกินอาหารจาก กล่องโฟม


              ช่วง นี้อากาศร้อน ถ้าจะให้ซื้อข้าวรับประทานตามร้านริมทางท่ามกลางไอแดดเห็นทีจะนั่งเช็ด เหงื่อกันไม่ไหวง่ายที่สุดคือ สั่งอาหารใส่กล่องโฟมเข้าไปรับประทานในที่ทำงานติดแอร์เย็นๆ หรือแม้กระทั่งหลังเลิกงานแล้วข้าวกล่องก็เป็นอาหารที่หาซื้อได้สะดวกที่สุด จะเลือกเมนูไหนก็ตักใส่กล่อง ราคาก็ถูก ประหยัดเวลาทำอาหารเอง รับประทานเสร็จก็ไม่ต้องล้าง ท่ามกลางความสะดวกสบาย กล่องโฟมก็แฝงไปด้วยภัยเงียบ
              นพ.วีรฉัตร กิตติรัตนไพบูลย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์ บริษัท บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมให้ความรู้ว่ากล่องโฟมที่ใช้ตามท้องตลาดทั่วไป (Styrofoam) เป็นของเสียเหลือทิ้งสีดำๆ จากกระบวนการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ประกอบด้วยสารสไตรีน (Styrene) มีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน(Estrogen) ในเพศหญิง
อาหาร ตามสั่งที่บรรจุกล่องโฟมจึงเป็นแหล่งสะสมสารสไตรีน ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ทำให้สมองมึนงง สมองเสื่อมง่ายหงุดหงิดง่าย มีผลทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ และเป็นสารก่อมะเร็งอีก 3 ชนิด
               ถ้า เป็นผู้ชายรับประทานเข้าไปมากๆ มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ผู้หญิงมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม และทั้งสองเพศมีโอกาสสูงต่อการเป็นมะเร็งตับ แม้จะไม่ได้ดื่มแอลกฮอล์เป็นประจำก็ตาม
สำหรับสไตรีนถือเป็น สารอันตรายที่สหรัฐเพิ่งประกาศขึ้นบัญชีสารก่อมะเร็ง หญิงมีครรภ์ที่รับประทานอาหารบรรจุในกล่องโฟม ลูกมีโอกาสสมองเสื่อมเป็นเอ๋อ อวัยวะบางส่วนพิการ ส่วนคนทั่วไปถ้ารับประทานอาหารกล่องโฟมทุกวัน วันละอย่างน้อย 1 มื้อ ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า
ทั้งนี้ ผู้บริโภคมีโอกาสได้รับสารสไตรีนในกล่องโฟมได้ง่ายถึง 5 ปัจจัย ได้แก่
1.อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นหรือเย็นลง ทำให้สไตรีนซึมเข้าสู่อาหารได้สูง
2.ถ้าปรุงอาหารโดยใส่น้ำมัน น้ำส้มสายชูแอลกอฮอล์ จะดูดสารสไตรีนจากกล่องโฟมได้มากกว่าปกติ
3.ถ้าซื้ออาหารใส่กล่องทิ้งไว้นานๆไม่ได้รับประทาน อาหารจะดูดสารสไตรีนได้มาก
4.ถ้านำอาหารที่บรรจุโฟมเข้าไมโครเวฟ สไตรีนจะไหลออกมาในปริมาณมาก และ
5.ถ้าอาหารสัมผัสพื้นที่ผิวกล่องโฟมมากๆ รวมถึงร้านไหนตัดถุงพลาสติกใสรองอาหาร ขอบอกว่าได้รับสารก่อมะเร็ง 2 เด้ง ทั้งสไตรีนและไดออกซินจากถุงพลาสติกเลยทีเดียว
นพ.วีรฉัตร เตือนว่าอาหารตามสั่ง หรือข้าวราดแกงที่มักมาคู่กับไข่ดาว หรือไข่เจียวร้อนๆขอเตือนว่า ไข่ดังกล่าวจะไปละลายผนังกล่องโฟม เสมือนรับประทานอาหารคลุกสไตรีนไปด้วย ถึงกระนั้นไข่ดิบที่วางขายในแผงไข่พลาสติก สารสไตรีนมีโอกาสวิ่งเข้าในเปลือกไข่ได้เช่นกัน ถ้าเลือกไข่ดิบควรเลือกซื้อจากแผงไข่กระดาษจะปลอดภัยที่สุด
มนุษย์ ข้าวกล่องอย่ามัวซื้อความสะดวกสบาย จนลืมใส่ใจสุขภาพของตัวเอง ถ้ายอมให้ร่างกายเริ่มสะสมสไตรีนตั้งแต่วันนี้ รับรองวันหน้าหนีไม่พ้นมะเร็งตัวร้ายเป็นแน่?

กล่องชานอ้อยปลอดภัย
มี คำแนะนำจากคุณหมอ ให้ผู้บริโภคสร้างสุขนิสัยการบริโภคใหม่เลี่ยงซื้ออาหารจากกล่องโฟมเปลี่ยน ไปใช้ภาชนะทำจากไบโอชานอ้อยแทน จะนำเข้าเตาไมโครเวฟก็ได้และทนต่ออาหารที่มีอุณหภูมิสูงๆ ได้ ที่สำคัญไร้สารก่อมะเร็งไม่มีผลต่อระบบฮอร์โมนและระบบประสาท????????????

กล่อง ไบโอชานอ้อยย่อยสลายตามธรรมชาติได้ในเวลา 45 วัน ต่างจากโฟมที่ใช้เวลาย่อยสลาย 1,000 ปี พลาสติกที่ใช้เวลา 450 ปี สำหรับคนที่รักสุขภาพเลือกรับประทานผักปลอดสารพิษ แต่ตักใส่กล่องโฟมคุณค่าอาหารก็ไม่มีเหลือเช่นกันดังนั้นเลี่ยงกล่องโฟมเป็น ดีที่สุด

ที่มา  โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ขาวกับดำ


ได้ยินเรื่องนี้อ่านอีกก็ยังชอบอยู่...?ขอบคุณเจ้าของเรื่อง และขออภัยที่ไม่ทราบจริงๆว่าเป็นของใคร
?เศรษฐีคนหนึ่งชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่ง เขาเชิญชาวนากับลูกสาวไปที่สวนในคฤหาสน์ของเขา เป็นสวนกรวดกว้างใหญ่ที่มีแต่กรวดสีดำกับสีขาว เศรษฐีบอกชาวนาว่า ท่านเป็นหนี้สินข้าจำนวนหนึ่ง 'แต่หากท่านยกลูกสาวให้ข้า ข้าจะเยิกหนี้สินทั้งหมดให้' ชาวนาไม่ตกลง
        เศรษฐีบอกว่า 'ถ้าเช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหม ข้าจะหยิบกรวดสองก้อนขึ้นมาจากสวน ใส่ในถุงผ้านี้ ก่อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาว ให้ลูกสาวของ ท่านหยิบก้อนกรวดจากถุงนี้ หากนางหยิบได้ก้อนสีขาว ข้าจะยกหนี้ สินให้ท่าน และนางไม่ต้องแต่งงานกับข้า แต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ นางต้อง แต่งงานกับข้า และแน่นอน ข้าจะยกหนี้ให้ท่านด้วย'
ชาวนาตกลง
          เศรษฐีหยิบกรวดสองก้อนใส่ในถุงผ้า หญิงสาวเหลือบไปเห็นว่ากรวดทั้งสองก้อนนั้นเป็นสีดำ เธอจะทำอย่างไร?
หากเธอไม่เปิดโปงความจริง ก็จะต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกง หากเธอเปิดโปงความจริง เศรษฐีย่อมเสียหน้า และยกเลิกเกมนี้ แต่บิดาของเธอก็ต้องเป็นหนี้เศรษฐีต่อไปอีกนาน
?เราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้มองปัญหาแบบขาวกับดำ แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้ อย่างขาวกับดำเสมอไป
ในทางตรงกันข้าม หากเราลองมองต่างมุม จะพบว่าหนทางการแก้ปัญหา มีมากกว่าหนึ่งทางเสมอ
การยืดหยุ่นและพลิกแพลง ไปตามสถานการณ์เป็นวิธีการหนึ่ง บางครั้งในการแก้ปัญหา เราอาจต้อง สร้างเครื่องมือในการแก้ปัญหาขึ้นมาใหม่
             ในยุคของ มิคาอิล กอร์บาชอฟ เขากล่าวว่า เป็นเรื่องเขลาที่คิดว่า ปัญหาที่รุมเร้ามนุษย์ ในวันนี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยเครื่องมือที่เคยใช้ได้ผลในอดีต หากเขาไม่ได้คิดเช่นนี้ บางทีวันนี้สัง คมนิยมโซเวียตยังไม่เปิดประเทศ และสันติภาพระหว่างฝ่ายขาว-ฝ่าย แดงคงล้าหลังไปอีกหลายปี โลกไม่มีสีขาวกับดำ ลูกสาวชาวนาเอื้อมมือลงไปในถุงผ้า หยิบกรวดขึ้นมาหนึ่งก้อน
พลันเธอปล่อยกรวดในมือร่วงลงสู่ พื้นกลืนหายไปในสีขาวและดำของสวนกรวด
เธอมองหน้าเศรษฐีเอ่ยว่า 'ขออภัยที่ข้าพลั้ง เผลอปล่อยหินร่วงหล่น แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อ ท่านใส่กรวดสีขาวกับสีดำอย่างละก้อนลงไปในถุงนี้ดังนั้นเมื่อเราเปิดถุงออกดูสีกรวดก้อนที่เหลือ ก็ย่อม รู้ทันทีว่า กรวดที่ข้าหยิบไปเมื่อครู่เป็นสีอะไร'?
ถ้าที่ถุงเป็นกรวดสีดำ '...ดังนั้นกรวดก้อนที่ข้าทำตกย่อมเป็นสีขาว'

ชาวนาพ้นสภาพลูกหนี้ และลูกสาวไม่ต้อง แต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงคนนั้น

 ที่มา http://www.gracezone.org/index.php/motivate/1487-black-white